บทความนี้รวบรวมพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ในด้านต่าง ๆ รวมถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกี่ยวข้อง
พระราชกรณียกิจด้านการเกษตรและการยกระดับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย
ด้านการเกษตร
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสนใจด้านนี้
พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมและทรงไต่ถามความทุกข์สุขของประชาชน
และทรงรับฟังข้อปัญหาเพื่อทรงนำมาวิเคราะห์และวิจัย
จนเกิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการชลประทาน
การพัฒนาดิน การวิจัยพันธุ์พืชและปศุสัตว์ เป็นต้น ดังหัวข้อต่อไปนี้
ทรัพยากรน้ำ
โครงการตามพระราชดำริของพระองค์
มีทั้งการแก้ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาอุทกภัย รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสีย
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำมีทั้งโครงการขนาดใหญ่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมได้[ต้องการอ้างอิง]
เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ที่จังหวัดลพบุรี[ต้องการอ้างอิง] จนถึงโครงการขนาดกลางและเล็กจำพวก ฝาย
อ่างเก็บน้ำ โดยพระองค์ทรงคำนึงถึงลักษณะของภูมิประเทศ สภาพแหล่งน้ำ
ความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ ประชาชนที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบจากโครงการ
มาเป็นหลักในการพิจารณา พระองค์ได้ทรงวิจัยและริเริ่มโครงการฝนหลวง
เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน
ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ประสบปัญหาน้ำท่วม
และน้ำเน่าเสียในคูคลอง มีพระราชดำริเรื่องแก้มลิง
ควบคุมการระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน ลำคลองต่าง ๆ
ลงสู่อ่าวไทยตามจังหวะการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล
ทั้งยังเป็นการใช้น้ำดีไล่น้ำเสียออกจากคลองได้อีกด้วย เครื่องกลเติมอากาศ
กังหันชัยพัฒนา ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการเพิ่มออกซิเจน
เป็นสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของพระองค์ที่ได้รับสิทธิบัตรจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา
กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2536
ทรัพยากรดิน
การแกล้งดิน
แกล้งดิน
เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เกี่ยวกับการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด
โดยมีการขังน้ำไว้ในพื้นที่จนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมีทำให้ดินเปรี้ยวจัด
จนถึงที่สุด แล้วจึงระบายน้ำออกและปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว
จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2524 ทรงพบว่า
ดินในพื้นที่พรุที่มีการชักน้ำออก เพื่อจะนำที่ดินมาใช้ทำการเกษตรนั้น
แปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดำริให้ส่วนราชการต่าง
ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ำแช่ขังตลอดปีให้เกิด
ประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุด และให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย
การแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรียวัตถุ
หรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบน และมีระดับความลึก 1 - 2 เมตร
เป็นดินเลนสีเทาปนน้ำเงิน ซึ่งมีสารประกอบกำมะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (Pyrite:
FeS2)
อยู่มาก ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทำปฏิกิริยากับอากาศ
ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จึงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริโครงการ " แกล้งดิน " เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน
เริ่มจากวิธีการ " แกล้งดินให้เปรี้ยว "
คือทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน
ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ
ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น "
แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด " จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้
จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้
วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดำริ คือควบคุมระดับน้ำใต้ดิน
เพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน จึงต้องควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่
เพื่อมิให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์
จากการทดลอง
ทำให้พบว่า วิธีการปรับปรุงดินตามสภาพของดินและความเหมาะสม มีอยู่ 3
วิธีการด้วยกัน คือ
-
ใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด
เพราะเมื่อดินหายเปรี้ยว จะมีค่า pH เพิ่มขึ้น หากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสเฟต
ก็จะทำให้พืชให้ผลผลิตได้
-
ใช้ปูนมาร์ลผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน
-
ใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นผสมกันได้
-
การปลูกหญ้าแฝก
โครงการเพื่อการเกษตรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ทรงมีพระราชดำริในการจัดตั้งโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
เพื่อส่งเสริมการเกษตรและประมงได้แก่โครงการเพาะเลี้ยงปลานิล
โครงการวิจัยเพื่อการเกษตรในการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าว
อนุรักษ์พันธุ์พืชและพัฒนา ปศุสัตว์ให้เจริญก้าวหน้าช่วยให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
การผลิตเอทานอล แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล เป็นต้น
พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข
ในด้านสุขภาพอนามัย
ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าปัญหาในด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนนั้น
เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังพระราชดำรัสที่ว่า
ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้
เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือพลเมืองนั่นเอง[ต้องการอ้างอิง]
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่าง ๆ ทุกครั้ง
พระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์
ทั้งแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และแพทย์อาสาสมัคร
โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด[ต้องการอ้างอิง] เพื่อที่จะได้รักษาผู้ป่วยไข้ได้ทันที
นอกเหนือจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ยังได้ริเริ่มหลายโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้
-
โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน
-
โครงการแพทย์หลวงเคลื่อนที่พระราชทาน
-
โครงการแพทย์พิเศษตามพระราชประสงค์
-
หน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่พระราชทาน
-
โครงการศัลยแพทย์อาสาราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
-
โครงการแพทย์ หู คอ จมูก
และโรคภูมิแพ้พระราชทาน
-
โครงการอบรมหมอหมู่บ้านในพระราชประสงค์
-
หน่วยงานฝ่ายคนไข้ ในกองราชเลขานุการ
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร มีพระบรมราโชวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ตอนหนึ่งว่า
“จึงใคร่ขอร้องให้ทุก ๆ คนตั้งใจ
และพยายามปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ผลสมบูรณ์จริง ๆ
อย่าปล่อยให้กำลังของชาติต้องเสื่อมถอยลงเพราะประชาชนเสียสุขภาพอนามัย”
พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
พระราชทานพระราชทรัพย์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลให้เป็นทุนสำหรับการศึกษาในแขนงวิชาต่าง
ๆ เพื่อให้นักศึกษาได้มีทุนออกไปศึกษาหาความรู้ต่อ ดังพระราชดำรัสที่ว่า
การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้
ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล
หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว
สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ
สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด
พระองค์จึงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ดังนี้
โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ทรงให้การอุปถัมภ์ในด้านต่าง ๆ เช่น
ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ
รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนและพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจแก่ครูและนักเรียนของโรงเรียน
โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์มีทั้งโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน
ทุนการศึกษาพระราชทาน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาหลายขั้นหลายทุน
ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนเริ่มดำเนินงานเมื่อปี
พ.ศ. 2511 โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่าง ๆ
เพื่อเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ที่ว่า
“หนังสือประเภทสารานุกรมนั้น
บรรจุสรรพวิชาการอันเป็นสาระไว้ครบทุกแขนง
เมื่อมีความต้องการหรือพอใจจะเรียนรู้เรื่องใด ก็สามารถค้นหาอ่านทราบโดยสะดวก
นับว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์เกื้อกูลการศึกษาเพิ่มพูนปัญญาด้วยตนเองของประชาชนอย่างสำคัญ
โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหาการขาดแคลนครูและที่เล่าเรียนเช่นขณะนี้
หนังสือสารานุกรมจะช่วยคลี่คลายให้บรรเทาเบาบางลงได้เป็นอย่างดี”
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ในทุก ๆ ปี
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
และพระบรมวงศานุวงศ์จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา แม้พระราชกรณียกิจนี้จะเป็นภาระแก่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์มาก
แต่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ก็มีพระราชกระแสรับสั่งให้คงพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
พระราชกรณียกิจด้านศาสนา
พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในการเปิดพระราชพิธีเนื่องในวโรกาสต่าง
ๆ เช่น พระราชพิธีบำเพ็ญการกุศล ทรงสนับสนุนให้มีการสร้างศาสนสถาน อีกทั้งยังทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา
เคยทรงให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นจำนวน 45 เล่ม
พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
รวม 28 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
และเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่าง ๆ